บางครั้งคำตอบของคำถามที่ลึกซึ้งก็ไม่ได้อยู่ในตำราเล่มไหน แต่อาจซ่อนอยู่ในรอยไม้ของบ้านเก่าๆ สักหลัง...
ที่ลำลำลับแล เราได้เรียนรู้ว่า "บุญ" ในแก่นแท้ของมันก็คือ "การสละออก" เพื่อฝึกใจไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น... เพราะทุกสิ่งที่เราครอบครองนั้นเป็นเพียงของชั่วคราว อยู่กับเราเพียงชั่วขณะ แล้วก็เปลี่ยนแปลงเคลื่อนผ่านไปตามกาลเวลา
บ้านหลังนี้คือครูผู้ยิ่งใหญ่ของเรา มันถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น จากทวดผู้สร้าง สู่หม่อนน้อย สู่ตาเงิน และสู่รุ่นแม่ในปัจจุบัน ไม่มีใครได้เป็นเจ้าของมันอย่างถาวร ทุกคนเป็นเพียงผู้ดูแลตามวาระ เมื่อถึงเวลาก็ต้อง "สละ" ให้กับคนรุ่นต่อไป นี่คือการทำบุญด้วยการ "ปล่อยวาง" ที่เกิดขึ้นจริงมาตลอดร้อยปี
หากเราไม่รู้จักฝึกใจให้สละออก ใจเราจะยึดมั่นถือมั่น และเมื่อวันที่สิ่งเหล่านั้นต้องเปลี่ยนแปลงไป "ใจเรานั่นแหละที่จะพัง"
วันที่เราตัดสินใจเปิดบ้านหลังนี้ให้ทุกคนได้เข้ามาสัมผัส คือวันที่เราเข้าใจความหมายของ "บุญ" อย่างถ่องแท้ที่สุด เราเลือกระหว่างการ "ยึด" บ้านไว้เป็นเพียงมรดกของตระกูลที่ร่วงโรยไปตามกาลเวลากับการ "สละ" ความเป็นส่วนตัวเพื่อ "ให้" บ้านได้มีชีวิตชีวาอีกครั้ง
เราเลือกที่จะ "ให้" ครับ...
ให้เรื่องราวของคุณทวดได้ถูกเล่าขาน
ให้สูตรอาหารของคุณยายได้หอมกรุ่นในครัวอีกครั้ง และให้ผู้คนได้เข้ามาสร้างความทรงจำบทใหม่ใต้ถุนบ้านที่เต็มไปด้วยมนต์ขลัง
การกระทำนี้คือ "บุญ" ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราจะมอบให้บ้านหลังนี้ได้ คือการสละความยึดมั่นเพื่อต่อลมหายใจให้มรดกทางใจ และเพื่อปกป้องใจเราเองไม่ให้แตกสลายไปพร้อมกับความเสื่อมโทรมที่อาจเกิดขึ้น
ดังนั้น ทุกครั้งที่ผู้คนมาเยือน ไม่ใช่แค่การมาทานอาหาร แต่คือการมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งใน "บุญ" ครั้งนี้ คือการมาเป็นประจักษ์พยานว่า... การให้และการสละออก คือสิ่งที่ทำให้ทุกอย่างยังคงงดงามและมีความหมาย... ไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนแปลงไปเพียงใด