ทำไมถึงเรียก "เมืองลับแล"? ถอดรหัสความหมายเบื้องหลังชื่อเมืองในม่านหมอก
ชื่อ "ลับแล" เป็นชื่อที่ชวนให้จินตนาการถึงดินแดนลี้ลับที่ซ่อนเร้นจากสายตาผู้คน ซึ่งสอดคล้องกับตำนานเมืองแม่ม่ายและชายหนุ่มผู้พลัดหลงที่เล่าขานสืบต่อกันมา แต่เคยสงสัยไหมครับว่า แท้จริงแล้วชื่อที่มีเอกลักษณ์นี้มีที่มาที่ไปอย่างไร?
คำตอบนั้นไม่ได้มีเพียงข้อเดียว แต่เป็นการบรรจบกันอย่างลงตัวของสภาพภูมิศาสตร์, ภาษาศาสตร์ และร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของผู้คน จนกลายเป็นชื่อที่สรุปตัวตนของเมืองแห่งนี้ไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ทฤษฎีที่ 1: เมืองที่ "แลไม่เห็น" - ความหมายตามสภาพภูมิประเทศ
ทฤษฎีที่แพร่หลายและเข้าใจง่ายที่สุด คือการแปลความหมายของชื่อแบบตรงตัวตามภาษาไทยกลาง
ลับ หมายถึง ซ่อนเร้น, ลี้ลับ, ปกปิด
แล หมายถึง มองดู, เห็น
เมื่อนำมารวมกัน "ลับแล" จึงมีความหมายตรงตัวว่า "ที่ที่มองดูไม่เห็น" หรือ "ซ่อนเร้นจากการมองเห็น"
ความหมายนี้สะท้อนลักษณะทางภูมิประเทศของลับแลได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะชุมชนดั้งเดิมของลับแลนั้นตั้งอยู่ในหุบเขาและแอ่งกระทะที่สลับซับซ้อน ถูกโอบล้อมไว้ด้วยทิวเขาสูงและป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์ ในสมัยก่อน การเดินทางที่ยากลำบากและสภาพภูมิประเทศที่เป็นปราการธรรมชาติ ทำให้คนภายนอกที่ไม่คุ้นเคยเส้นทาง ไม่สามารถมองเห็นบ้านเรือนได้ง่ายนัก และอาจพลัดหลงได้ง่าย ความเร้นลับทางกายภาพนี้เอง ที่ทำให้ลับแลกลายเป็นสถานที่หลบภัยชั้นดีในอดีต และเป็นที่มาของชื่อเรียกที่ตรงไปตรงมาที่สุด
ทฤษฎีที่ 2: เมืองที่ "ลับแสงแลง" - ร่องรอยวัฒนธรรมล้านนา
อีกหนึ่งทฤษฎีที่มีน้ำหนักและน่าสนใจไม่แพ้กัน ชี้ให้เห็นถึงรากทางภาษาและวัฒนธรรมล้านนาที่หยั่งลึกอยู่ในดินแดนแห่งนี้ โดยสันนิษฐานว่าชื่อ "ลับแล" อาจเพี้ยนมาจากคำในภาษาล้านนาว่า "ลับแลง"
ลับ มีความหมายว่า ซ่อนเร้น เช่นเดียวกัน
แลง ในภาษาถิ่นเหนือ (คำเมือง) หมายถึง เวลาเย็น หรือ พลบค่ำ
ดังนั้น "ลับแลง" จึงหมายถึง "ที่ที่ลับจากแสงยามเย็น" ซึ่งเป็นการอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ เนื่องจากทางทิศตะวันตกของเมืองมี "ดอยม่อนฤาษี" ตั้งตระหง่านอยู่ ทำให้เงาของภูเขาทอดตัวลงมาบดบังแสงอาทิตย์ ส่งผลให้หุบเขาแห่งนี้มืดค่ำเร็วกว่าบริเวณอื่น
ทฤษฎีนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ถึงอิทธิพลทางวัฒนธรรมของชาว ไท-ยวน (คนเมือง) จากเชียงแสน ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของประชากรส่วนใหญ่ในอำเภอลับแลปัจจุบัน
สองทฤษฎีที่ไม่ได้ขัดแย้ง แต่เติมเต็มซึ่งกันและกัน
ที่น่าทึ่งคือ ข้อสันนิษฐานทั้งสองนี้ไม่ได้ขัดแย้งกันเลย แต่กลับส่งเสริมซึ่งกันและกันอย่างน่าอัศจรรย์ สภาพภูมิศาสตร์ที่เป็นหุบเขาล้อมรอบ ซึ่งทำให้เกิดปรากฏการณ์ "ลับแลง" (ลับแสงยามเย็น) ก็คือสภาพภูมิศาสตร์เดียวกันกับที่ทำให้เมืองแห่งนี้ "ลับแล" (มองไม่เห็น) จากสายตาคนภายนอกนั่นเอง
ภูเขาลูกเดียวกันที่บดบังสายตาคนนอก ก็คือภูเขาลูกเดียวกันที่บดบังแสงอาทิตย์ยามเย็น
ดังนั้น ชื่อ "ลับแล" จึงไม่ใช่แค่ชื่อเรียก แต่คือบทสรุปที่สมบูรณ์แบบของเมืองแห่งนี้ เป็นการบอกเล่าเรื่องราวของภูมิศาสตร์อันทรงพลังเดียวกัน ผ่านมุมมองของกลุ่มคนที่ใช้ภาษาและวัฒนธรรมต่างกัน (ไทยภาคกลางและล้านนา) สะท้อนให้เห็นถึงมรดกทางวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว และตอกย้ำภาพลักษณ์ของเมืองที่ซ่อนเร้นอยู่ในม่านหมอก ทั้งในเชิงกายภาพและในเชิงวัฒนธรรมได้อย่างแท้จริง